วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การเรียนการสอนผ่านเว็บ




การใช้เว็บเพื่อการเรียนการสอนเป็นการนำเอาคุณสมบัติของอินเทอร์เน็ต มาออกแบบเพื่อใช้ในการศึกษา การจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based Instruction) มีชื่อเรียกหลายลักษณะ เช่นการจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ(Web-Based Instruction) เว็บการเรียน(Web-Based Learning) เว็บฝึกอบรม (Web-Based Training) อินเทอร์เน็ตฝึกอบรม (Internet-Based Training) อินเทอร์เน็ตช่วยสอน(Internet-Based Instruction) เวิลด์ไวด์เว็บฝึกอบรม (WWW-Based Training) และเวิลด์ไวด์เว็บช่วยสอน (WWW-Based Instruction) (สรรรัชต์ ห่อไพศาล. 2545) ทั้งนี้มีผู้นิยามและให้ความหมายของการเรียนการสอนผ่านเว็บเอาไว้หลายนิยาม ได้แก่

คาน (Khan, 1997) ได้ให้คำจำกัดความของการเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web-Based Instruction)ไว้ว่าเป็นการเรียนการสอนที่อาศัยโปรแกรมไฮเปอร์มีเดียที่ช่วยในการสอน โดยการใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะและทรัพยากรของอินเทอร์เน็ต มาสร้างให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมายโดยส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนรู้อย่างมากมายและสนับสนุนการเรียนรู้ในทุกทาง
คลาร์ก (Clark, 1996) ได้ให้คำจำกัดความของการเรียนการสอนผ่านเว็บว่าเป็นการเรียนการสอนรายบุคคลที่นำเสนอโดยการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์สาธารณะหรือส่วนบุคคล และแสดงผลในรูปของการใช้เว็บบราวเซอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ติดตั้งไว้ได้โดยผ่านเครือข่าย

รีแลน และกิลลานิ (Relan and Gillani, 1997) ได้ให้คำจำกัดความของเว็บในการสอนเอาไว้ว่าเป็นการกระทำของคณะหนึ่งในการเตรียมการคิดในกลวิธีการสอนโดยกลุ่มคอนสตรัคติวิซึ่มและการเรียนรู้ในสถานการณ์ร่วมมือกัน โดยใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะและทรัพยากรในเวิลด์ไวด์เว็บ



  จากนิยามและความคิดเห็นของนักวิชาการและนักการศึกษา ทั้งในต่างประเทศและภายใน ประเทศไทยดังที่กล่าวมาแล้วนั้นสามารถสรุปได้ว่า การเรียนการสอนผ่านเว็บเป็นการจัดสภาพการเรียนการสอนที่ได้รับการออกแบบอย่างมีระบบ โดยอาศัยคุณสมบัติและทรัพยากรของเวิลด์ไวด์เว็บ มาเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ โดยอาจจัด เป็นการเรียนการสอนทั้งกระบวนการ หรือนำมาใช้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการทั้งหมดและช่วยขจัดปัญหาอุปสรรคของการเรียนการสอนทางด้านสถานที่และเวลาอีกด้วย
ประเภทของการเรียนการสอนผ่านเว็บ

การเรียนการสอนผ่านเว็บสามารถทำได้ในหลายลักษณะ โดยแต่ละเนื้อหาของหลักสูตรก็จะมีวิธีการจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในประเด็นนี้มีนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับประเภทของการเรียนการสอนผ่านเว็บ ดังต่อไปนี้

พาร์สัน(Parson,1997) ได้แบ่งประเภทของการเรียนการสอนผ่านเว็บออกเป็น ลักษณะคือ
1.เว็บช่วยสอนแบบรายวิชาอย่างเดียว (Stand - Alone Courses) เป็นรายวิชาที่มีเครื่องมือและแหล่งที่เข้าไปถึงและเข้าหาได้โดยผ่านระบบอินเทอร์เน็ตอย่างมากที่สุด ถ้าไม่มีการสื่อสารก็สามารถที่จะไปผ่านระบบคอมพิวเตอร์สื่อสารได้ ลักษณะของเว็บช่วยสอนแบบนี้มีลักษณะเป็นแบบวิทยาเขตมีนักศึกษาจำนวนมากที่เข้ามาใช้จริงแต่จะมีการส่งข้อมูลจากรายวิชาทางไกล
2.เว็บช่วยสอนแบบเว็บสนับสนุนรายวิชา (Web Supported Courses) เป็นรายวิชาที่มีลักษณะเป็นรูปธรรมที่มีการพบปะระหว่างครูกับนักเรียนและมีแหล่งให้มาก เช่น การกำหนดงานที่ให้ทำบนเว็บ การกำหนดให้อ่าน การสื่อสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์ หรือการมีเว็บที่สามารถชี้ตำแหน่งของแหล่งบนพื้นที่ของเว็บไซต์โดยรวมกิจกรรมต่างๆ เอาไว้
3.เว็บช่วยสอนแบบศูนย์การศึกษา (Web Pedagogical Resources) เป็นชนิดของเว็บไซต์ที่มีวัตถุดิบเครื่องมือ ซึ่งสามารถรวบรวมรายวิชาขนาดใหญ่เข้าไว้ด้วยกันหรือเป็นแหล่งสนับสนุนกิจกรรมทางการศึกษา ซึ่งผู้ที่เข้ามาใช้ก็จะมีสื่อให้บริการอย่างรูปแบบอย่างเช่น เป็นข้อความ เป็นภาพกราฟิก การสื่อสารระหว่างบุคคล และการทำภาพเคลื่อนไหวต่างๆ เป็นต้น

เจมส์ (James, 1997) สามารถแบ่งได้ ลักษณะใหญ่ ๆ คือ
 1.โครงสร้างแบบค้นหา (Eclectic Structures) ลักษณะของโครงสร้างเว็บไซต์แบบนี้ เป็นแหล่งของเว็บไซต์ที่ใช้ในการค้นหาไม่มีการกำหนดขนาด รูปแบบ ไม่มีโครงสร้างที่ผู้เรียนต้องมีปฏิสัมพันธ์กับเว็บลักษณะของเว็บไซต์แบบนี้จะมีแต่การให้ใช้เครื่องมือในการสืบค้นหรือเพื่อบางสิ่งที่ต้องการค้นหาตามที่กำหนดหรือโดยผู้เขียนเว็บไซต์ต้องการ โครงสร้างแบบนี้จะเป็นแบบเปิดให้ผู้เรียนได้เข้ามาค้นคว้าในเนื้อหาในบริบท โดยไม่มีโครงสร้างข้อมูลเฉพาะให้ได้เลือกแต่โครงสร้างแบบนี้จะมีปัญหากับผู้เรียนเพราะผู้เรียนอาจจะไม่สนใจข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง โดยไม่กำหนดแนวทางในการสืบค้น
2.โครงสร้างแบบสารานุกรม (Encyclopaedic Structures) ถ้าเราควบคุมของสร้างของเว็บที่เราสร้างขึ้นเองได้ เราก็จะใช้โครงสร้างข้อมูลในแบบต้นไม้ในการเข้าสู่ข้อมูล ซึ่งเหมือนกับหนังสือที่มีเนื้อหาและมีการจัดเป็นบทเป็นตอน ซึ่งจะกำหนดให้ผู้เรียนหรือผู้ใช้ได้ผ่านเข้าไปหาข้อมูลหรือเครื่องมือที่อยู่ในพื้นที่ของเว็บหรืออยู่ภายในและ นอกเว็บ เว็บไซต์จำนวนมากมีโครงสร้างในลักษณะดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะเว็บไซต์ทางการศึกษาที่ไม่ได้กำหนดทางการค้า องค์กร ซึ่งอาจจะต้องมีลักษณะที่ดูมีมากกว่านี้ แต่ในเว็บไซต์ทางการศึกษาต้องรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน กลวิธีด้านโครงสร้างจึงมีผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน

3.โครงสร้างแบบการเรียนการสอน (Pedagogic Structures) มีรูปแบบโครงสร้างหลายอย่างในการนำมาสอนตามต้องการ ทั้งหมดเป็นที่รู้จักดีในบทบาทของการออกแบบทางการศึกษาสำหรับคอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือเครื่องมือมัลติมีเดีย ซึ่งความจริงมีหลักการแตกต่างกันระหว่างคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกับเว็บช่วยสอนนั้นคือความสามารถของ HTML ในการที่จะจัดทำในแบบไฮเปอร์เท็กซ์กับการเข้าถึงข้อมูลหน้าจอโดยผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
โดเฮอร์ตี้ (Doherty, 19100) แนะนำว่าการเรียนการสอนผ่านเว็บ มีวิธีการใช้ใน 3 ลักษณะ คือ

     1. การนำเสนอ (Presentation) ในลักษณะของเว็บไซต์ที่ประกอบไปด้วยข้อความ ภาพกราฟิกโดยมีวิธี การนำเสนอ คือ
                    1.1 การนำเสนอแบบสื่อเดี่ยว เช่น ข้อความ หรือ รูปภาพ
                    1.2 การนำเสนอแบบสื่อคู่ เช่น ข้อความกับรูปภาพ
                    1.3 การนำเสนอแบบมัลติมีเดีย คือ ประกอบด้วยข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง


     2. การสื่อสาร (Communication) การสื่อสารเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องใช้ทุกวันในชีวิตซึ่งเป็น ลักษณะสำคัญของอินเทอร์เน็ต โดยมีการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ตหลายแบบ เช่น
       2.1 การสื่อสารทางเดียว เช่น การดูข้อมูลจากเว็บเพจ
       2.2 การสื่อสารสองทาง เช่น การส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์โต้ตอบกัน
       2.3 การสื่อสารแบบหนึ่งแหล่งไปหลายที่ เป็นการส่งข้อความจากแหล่งเดียวแพร่กระจายไปหลายแหล่ง เช่น การอภิปรายจากคนเดียวให้คนอื่นๆ ได้รับฟังด้วยหรือการประชุมผ่านคอมพิวเตอร์ (Computer conferencing)
       2.4 การสื่อสารหลายแหล่งไปสู่หลายแหล่ง เช่น การใช้กระบวนการกลุ่มในการสื่อสารบนเว็บ โดยมีคนใช้หลายคนและคนรับหลายคนเช่นกัน
3. การทำให้เกิดความสัมพันธ์(Dynamic Interaction) เป็นคุณลักษณะที่สำคัญของอินเทอร์เน็ตและสำคัญที่สุด ซึ่งมี 3 ลักษณะคือ 
3.1 การสืบค้นข้อมูล
 3.2 การหาวิธีการเข้าสู่เว็บ
 3.3 การตอบสนองของมนุษย์ต่อการใช้เว็บ
..........................................................................................................................................................

บรรณานุกรม 
กิดานันท์ มลิทอง (2543). เทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรม. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร: อรุณการพิมพ์, 
           ใจทิพย์ ณ สงขลา.(2542). การสอนผ่านเครือข่ายเวิลด์ไวด์เว็บ. วารสารครุศาสตร์. ปีที่ 27 ฉบับที่ 3 (มีนาคม 2542): 18-28. 

ดิจิทัลวิดีโอ

Digital Video คืออะไร




             Digital Video คือ รูปแบบการบันทึก Video ที่ทำงานโดยใช้สัญญาณ Digital แทนการใช้สัญญาณ Analog

Digital Video พูดง่ายๆก็คือการบันทึก / ดัดแปลง / จัดเก็บ Video ด้วยรหัสทาง Digital แทนการใช้ Film เป็นสื่อ ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการบันทึกนั้นยังคงเป็นกล้องวิดีโออยู่ แต่สื่อที่ใช้บันทึกได้เปลี่ยนไป โดยจะมี การใช้เทปในการบันทึก เราจะเรียกว่า เทป DV (Digital Video) หรือว่าการใช้สื่ออื่นๆเช่น DVD หรือ HardDisk เป็นต้น
การที่เปลี่ยนแปลงเป็นสื่อ Digital ทำให้เกิดความสะดวกสบายต่อการทำงานเป็นอย่างมาก ทั้งในด้านการตัดต่อ การจัดเก็บ การเผยแพร่ ในปัจจุบันแม้แต่ภาพยนตร์ใหญ่ๆในสมัยนี้ก็ทำงานแบบ Digital แทบจะทั้งสิ้น

Broadcast Television Systems

ระบบการแพร่ภาพสัญญาณโทรทัศน์นั้นเราสามารถสรุปเป็นรูปแบบกว้างๆได้ 3 แบบคือ PAL, NTSC และ SECAM
PAL หรือ Phase Alternate Line คือการเข้ารหัสสัญญาณโทรทัศน์ในระบบ Analog ที่มีการใช้แพร่หลายในหลายๆประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย
NTSC หรือ National Television System Committee คือการเข้ารหัสสัญญาณโทรทัศน์ในระบบ Analog ที่ใช้ใน อเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ (ยกเว้น บราซิล และ อาร์เจนติน่า), พม่า, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น,   ฟิลิปปินส์ และ หมู่เกาะในทะเลแปซิฟิก
SECAM หรือ Séquentiel couleur à mémoire คือการเข้ารหัสสัญญาณโทรทัศน์ในระบบ Analog ที่ใช้ใน ฝรั่งเศษ

Frame Rates

Frame Rates คือ อัตราการแสดงภาพต่อวินาที ซึ่งในแต่ละระบบการแพร่ภาพก็มีความแตกต่างกันไป Frame Rates มีหน่วยเป็น FPS หรือ Frames per Second
PAL จะเป็น 25 FPS หรือ 24.976 FPS
NTSC จะเป็น 30 FPS หรือ 29.97 FPS
Film จะเป็น 24 FPS หรือ 23.976 FPS

Pixel Aspect Ratio

Pixel Aspect Ratio คืออัตราส่วนทางคณิตศาสตร์ที่บอกถึง ความกว้างของ Pixel เทียบกับ ความสูงของ Pixel นั้น
ภาพส่วนมากที่เราเห็นใน Computer นั้นประกอบด้วยเม็ด Pixel จำนวนมากเรียงตัวกันเป็นภาพ ซึ่งโดยปกติแล้วเม็ด Pixel นี้จะมีขนาดเป็น สี่เหลี่ยมจตุรัส หรือที่เราเรียกว่า Square Pixel แต่ในระบบทีวีปกติที่เป็น Standard Definition นั้น มักจะมี Pixel Aspect Ratio ที่ไม่ใช่ สี่เหลี่ยมจตุรัส แต่เป็น สี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยที่รูปแบบของสื่อบันทึกและสื่อที่เผยแพร่ภาพจะมี Pixel Aspect Ratio ที่ไม่เหมือนกัน กล่าวคือ
DV PAL จะเป็น 1.067:1
DV PAL Widescreen จะเป็น 1.422
DV NTSC จะเป็น 0.889:1
DV NTSC Widescreen จะเป็น 1.185
Film 2K และ 4K จะเป็น 1:1 (Square Pixel)
ภาพใน Computer โดยปกติจะเป็น Square Pixel ดังนั้นการทำงานใน Computer จึงควรจะเปิด Feature ที่เรียกว่า Pixel Aspect Ratio Correction เพื่อที่จะทำงานกับภาพ Video ที่เหมือนกับผลงานจริง (ไม่ได้ถูกบีบหรือยืด)

Interlaced / Progressive

Interlaced Video คือ เทคนิคที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อเพิ่มคุณภาพของ Video โดยไม่เพิ่ม Bandwidth โดย Interlaced ถูกออกแบบมาให้ใช้กับ CRT TV (ทีวีจอแก้ว)
Interlace Scan คือรูปแบบในการแสดงภาพบนจอ Electronic โดยการวาดเส้นขึ้นมาสองชุด ที่เรียกว่า Fields โดยจะมี Field ที่วาดเส้นหมายเลขคี่ และ Field ที่วาดเส้นหมายเลขคู่ โดยเราจะเรียก Field เหล่านี้ว่า Upper Field และ Lower Field โดยระบบ ทีวี PAL จะวาดเส้น 50 เส้นใน 1 วินาที (25 เส้นในแต่ละ Field) ทั้งสอง Field นี้จะผสมกันเป็นภาพ 25 ภาพในทุกๆ 1 วินาที จึงเป็นที่มาของ 25 FPS
รูปแบบในการจัดเก็บของ Interlaced Video นั้นในปัจจุบันจะอยู่ในรูปของเทป DV ซึ่งจะเป็น Standard Definition และ HDV ซึ่งจะเก็บในรูปแบบ High Definition
ในการจัดเก็บไฟล์นั้น จะมีการเขียนกำกับไว้ด้วย i ข้างหลัง Resolution เช่น 480i สำหรับ NTSC และ 576i สำหรับ PAL หรือว่า 1080i สำหรับ HD
ข้อดีของการใช้ Interlace Scan ก็คือ Bandwidth ไม่สูงเหมือน Progressive Scan ทำให้ลดต้นทุนในการผลิตลงได้
ภาพ Interlaced Video ที่แสดงด้วย Progressive Monitor ที่ทำ De-interlacing ได้ไม่ดี

     "Progressive Scan คือการจัดเก็บ การฉาย หรือ ถ่ายทอด ภาพ Video ซึ่งจะวาดเส้นแต่ละเส้นจนเป็น Frame ไปเรื่อยๆตามลำดับ ไม่มีการวาดเป็น 2 ชุดเหมือน Interlace Scan"

..............................................................................................................................

 เเหล่งที่มา: http://chilltorial.net/?p=143

อินเทอร์เน็ตแฟนฟิกชัน




ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หน้าเว็บเว็บไซต์  Google


          ในช่วงปี พ.ศ. 2538 ซึ่งเป็นช่วงยุคแรกที่อินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในการสื่อสารของประเทศไทย ในเวลานั้นยังเป็นระบบอินเทอร์เน็ตแบบ web 1.0 คือ การที่ผู้เขียนเว็บไซต์ทำได้เพียงการเขียนเว็บไซต์ให้ผู้ชมได้เพียงแต่รับชม ไม่อาจโต้ตอบกลับอย่างทันทีได้ ต่อมาในช่วงทศวรรษ 2540อินเทอร์เน็ตได้พัฒนาระบบขึ้นมาเป็น web 2.0 ซึ่งเป็นระบบที่เปิดให้ผู้รับชม สามารถสื่อสารโต้ตอบกับผู้เขียนได้ ในอันดับแรกเริ่มคือ การใช้อีเมล (e-mail) ต่อมาเป็นการใช้เว็บบอร์ด (Webborad) ซึ่งเป็นลักษณะกระดานข่าวที่เปิดให้ผู้รับชมสามารถเขียนสารลงในเว็บไซต์ได้ในลักษณะกระทู้ข่าว (Topic) ซึ่งนวนิยายไทยเริ่มปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกบนอินเทอร์เน็ต

            ในระยะแรกนวนิยายไทยเป็นลักษณะของการรับอิทธิพลจากนวนิยายต่างประเทศเข้ามาในลักษณะของเรื่องเขียนเล่น หรือ ฟิคชั่น (Fiction) ซึ่งเป็นเรื่องเล่าการเขียนขึ้นเองหรืออ้างอิงมาจากเรื่องจริง ซึ่งฟิคชั่นที่รับเข้ามาเป็นแบบ แฟนฟิคชั่น (Fan Fiction) ซึ่งเกิดจากสมาชิกแฟนคลับที่นิยมชมชอบในบุคคลหรือสิ่งของ นำมาดัดแปลงเขียนเป็นเรื่องเล่าตามความชื่นชอบของผู้เขียน เช่น ดารานักร้อง หรือการ์ตูน ซึ่งการเขียนฟิคชั่นเป็นที่นิยมในอเมริกาและญี่ปุ่นมาก ฟิคชั่นของไทยจึงเป็นการเขียนตามเว็บไซต์แฟนคลับโดยเฉพาะ มีเนื้อหาแนวสนุกสนาน รักโรแมนติก แอ็คชั่น ฯลฯ แต่มีเนื้อหาที่เป็นชื่อต่างประเทศ ยังไม่ค่อยปรากฎลักษณะความเป็นไทยชัดเจนนัก
        ต่อมาจึงเกิดเว็บไซต์ไทยไรเตอร์ (Thaiwriter.com) ซึ่งถือเป็นเว็บไซต์วรรณกรรมไทยแห่งแรกของประเทศไทย เป็นเว็บไซต์ลักษณะกระทู้กระดานข่าวที่เปิดให้นักเขียนอิสระสามารถนำผลงานด้านงานเขียนทุกประเภทมาลงในกระทู้เว็บไซต์ได้ แต่ส่วนใหญ่ผู้เข้าชมเป็นผู้ใหญ่ จึงทำให้งานเขียนในเว็บไซต์เป็นประเภทเรื่องสั้น บทกลอน กวี ซึ่งมีเนื้อหาแนวสัจจนิยม (Realism) หรือเพื่อชีวิต นอกจากนั้นก็ยังมีเว็บไซต์บ้านจอมยุทธ ซึ่งรับงานเขียนคล้ายลักษณะไทยไรเตอร์

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หน้าเว็บเว็บไซต์ไทยไรเตอร์ (Thaiwriter.com)

         
ต่อมาก็เริ่มเกิดเว็บไซต์ที่รับงานเขียนประเภทนวนิยายเต็มตัว เช่น เว็บไซต์เจเจ-บุค (JJ-Book) และ สิรินดา (Sirinda)  ซึ่งมีงานเขียนส่วนใหญ่ประเภทรักโรแมนติก แต่เว็บไซต์นวนิยายไทยที่เป็นแหล่งรวมของนวนิยายหลายประเภท คือเว็บไซต์พันทิป (Pantip)เปิดกระทู้ห้องสมุดในห้องถนนนักเขียน ซึ่งเริ่มมีนวนิยายไทยประเภทแฟนตาซี (Fantasy) ขึ้น และกลายเป็นลักษณะของบล็อก (Blog) ซึ่งมีการจัดระบบเป็นบทความเฉพาะในเว็บไซต์ส่วนตัวของผู้เขียนมากขึ้น ในช่วงนั้นเรื่องเขียนเล่นมีลักษณะเป็นนวนิยาย (Novel) ที่มีลักษณะเป็นนวนิยายไทยมากขึ้น มีลักษณะสำนวนกับเนื้อหาที่รับมาจากนวนิยายไทยของนักเขียนที่เขียนตามในนิตยสารรายปักษ์ หรือนักเขียนที่มีชื่อเสียง เช่น ทมยันตี พนมเทียน กฤษณา อโศกสิน เป็นต้น ผู้เขียนและผู้อ่านส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่  มีนวนิยายที่แจ้งเกิดในพันทิปมากมาย อาทิเช่น กลุ่มนวนิยาย 'ความรู้สึกดีๆ ที่เรียกว่ารักของสำนักพิมพ์แจ่มใส พัณณิดา ภูมิวัฒน์ นักเขียนเรื่อง 'ไมรอนเชษฐา นักเขียนเรื่อง 'ลำนำหกพิภพวรรณวรรธน์ นักเขียนเรื่อง 'ข้าบดินทร์กับ 'จันทราอุษาคเนย์ซึ่งต่างได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลซีไรต์ทั้งสิ้น

  ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หน้าเว็บเว็บไซต์  ryombx

ปีพ.ศ. 2542 ได้เกิดเว็บไซต์เด็กดี (Dek-D) ขึ้นมา ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่มีกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้เป็นเยาวชนที่แตกต่างจากเว็บไซต์ทั่วไปที่มีผู้ใช้เป็นผู้ใหญ่ มีระบบจัดการประเภท จัดคอลัมน์นวนิยายได้สะดวก รวมถึงมีความเป็นสังคมออนไลน์ (Social network)ในปัจจุบันเด็กดีได้กลายเป็นศูนย์รวมและตลาดกลางของนวนิยายไทยอินเทอร์เน็ต เป็นแหล่งแจ้งเกิดของนักเขียนที่สร้างปรากฏการณ์นวนิยายไทยอินเทอร์เน็ตให้เป็นที่รู้จักของสังคม เช่น ดร.ป็อบ (Dr.pop) นักเขียนชายวัย 17 ปี นักเขียนนวนิยายไทยอินเทอร์เน็ตเรื่องแรกของไทยที่ได้ตีพิมพ์เป็นหนังสือ 'เดอะไวท์โรด' (The White Road) สร้างปรากฏการณ์ที่เด็กสามารถเขียนนวนิยายได้เท่านักเขียนผู้ใหญ่ ทำให้เกิดกระแสนักเขียนเยาวชนมากขึ้น หรือ แรทบิท (Rabbit) นักเขียนเรื่อง 'หัวขโมยแห่งบารามอสผู้ทำให้เกิดกระแสนวนิยายอินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมแพร่หลายมากยิ่งขึ้น หรือ นู๋ผักบุ้ง นักเขียนนวนิยาย 'มาเฟียที่รักที่ถูกนำไปทำเป็นละครโทรทัศน์


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หน้าเว็บเด็กดี



นิยายอินเทอร์เน็ตที่สร้างปรากฏการณ์นวนิยายอินเทอร์เน็ตให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างกระแสเหล่านี้ทำให้วงการวรรณกรรมไทยมีความพัฒนามากยิ่งขึ้น มีนักเขียนแจ้งเกิดในอินเทอร์เน็ตมากมาย รวมถึงการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางในการเผยแพร่ เกิดเว็บไซต์นวนิยายและสำนักพิมพ์มากขึ้นเพื่อรองรับตลาดอันมหาศาลของนวนิยายไทยอินเทอร์เน็ต ส่งมีกำลังการผลิตและซื้อมากมายอันสังเกตได้จากงานมหกรรมหนังสือแห่งชาติ นอกจากนั้นยังทำให้เกิดระบบการผลิตงาน การอ่านและซื้อขายนวนิยายเปลี่ยนแปลงไปจากนวนิยายในยุคเก่าอีกด้วย
............................................................................................................................

แหล่งที่มา: https://writer.dek-d.com/chinchang22/writer/viewlongc.php?id=605742&chapter=1


อินเทอร์แอคทีฟมัลติมีเดีย



Interactive Multimedia

สื่อ Interactive Multimedia คือ เทคโนโลยีทางการศึกษาที่เป็นระบบคอมพิวเตอร์รูปแบบใหม่ที่ถูกนำมาใช้ในระบบการเรียนการสอน (ซึ่ง SE-ED Learning Center เป็นรายแรกในประเทศไทยที่มีการนำเอาเทคโนโลยีนี้มาใช้ประกอบการเรียนการสอนในวิชาภาษาอังกฤษอย่างเป็นทางการ)โดยมีวัตถุประสงค์ในการกระตุ้นการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของนักเรียนโดยมีปฏิสัมพันธ์ผ่านระบบเสียงข้อความการ์ตูน Animation เพลงดนตรีและภาพกราฟฟิคต่างๆซึ่งจะทำให้นักเรียนสามารถฝึกฝนทักษะการใช้ภาษาอังกฤษทั้งทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน อย่างกระตือรือร้น และสนุกสนาน
การเรียนการสอนในหลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียง Phonics World และหลักสูตรภาษาอังกฤษ Active English จะมีการประยุกต์ใช้สื่อ Inteactive  Multimedia ผ่าน Interactive Whiteboard ร่วมกับการทำกิจกรรมฝึกภาษาอังกฤษในชั้นเรียน ในรูปแบบ Activity Based Learning ซึ่งกิจกรรมต่างๆ ที่ใช้สื่อ Interactive Multimedia ประกอบนี้ จะทำให้นักเรียนได้ ฝึกใช้ ภาษาอังกฤษ จนเกิดความชำนาญ และสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติ (ฝ่ายวิชาการภาษาอังกฤษ SE-ED Learning Center เชื่อว่า ทักษะทางภาษาอังกฤษ จะเพิ่มขึ้น ถ้านักเรียนมี อัตราการใช้ภาษาอังกฤษ (English Use Rate)” ที่เพิ่มมากขึ้น
สื่อ Interactive Multimedia ที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนในหลักสูตรภาษาอังกฤษ Active English นั้นมีการผสมผสาน สื่อการเรียนการสอนต่างๆ อย่างบูรณาการ ซึ่งประกอบไปด้วย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การเรียนมัลติมีเดีย


 กิจกรรมการเรียนการสอนภายในห้องเรียน (During Class Activities)ครูผู้สอนจะใช้ Interactive Multi – roms หรือ Web School ผ่าน Interactive Whiteboard ในการอำนวยการเรียนการสอน และกิจกรรมการเรียนรู้ในห้องเรียน ซึ่งจะทำให้นักเรียนได้เรียนรู้คำศัพท์ (Vocabulary) โครงสร้างประโยค (Sentence Pattern) และไวยากรณ์ (Grammar) ตลอดจนได้ฝึกพูด ฝึกใช้ภาษาอังกฤษ
กิจกรรมการฝึกฝนภาษาอังกฤษหลังเลิกเรียน (After Class Activities): นักเรียนที่เรียนในหลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียงPhonics World คุณพ่อคุณแม่สามารถมีส่วนร่วมในการทบทวนบทเรียน และพัฒนาทักษะการออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนได้ผ่าน DVD Interactive Multi – Roms ในขณะที่นักเรียนที่เรียนในหลักสูตร Active English ก็สามารถทบทวนบทเรียน และฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษด้วยตนเอง ผ่านการทำแบบฝึกหัดในระบบ e-Homework การอ่านหนังสือนอกเวลาแบบExtensive Reading ผ่านระบบ Animation และการเล่นเกมออนไลน์ภาษาอังกฤษ (เกม Magic Fighter) ในระบบ Web School
การฝึกฝน และแบบฝึกหัด (Drill): หลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียงPhonics World และหลักสูตรภาษาอังกฤษActive English ได้บูรณาการสื่อการเรียนการสอนต่างๆ อย่างครบวงจร โดยหนังสือเรียน (Student’s Book) หนังสืออ่านนอกเวลา (Reader) และแบบฝึกหัด (Workbook) ทุกๆ เล่มของหลักสูตรภาษาอังกฤษ Active English จะมี Audio CD และมีเนื้อหาที่เชื่อมโยงกับระบบ Web School ซึ่งทำให้การทำแบบฝึกหัด หรือการทำการบ้านของนักเรียน สามารถพัฒนาทักษะการอ่าน การเขียน และการฟัง ของนักเรียนไปควบคู่กัน อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่หนังสือเรียน (Student’s Book) ของหลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียง Phonics World ก็จะมี DVD Interactive Multi – Roms ซึ่งบรรจุ เพลง นิทาน และเกมฝึกทักษะภาษาอังกฤษต่างๆ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ใช้ในการทบทวนบทเรียน และเพิ่มพูนทักษะภาษาอังกฤษของนักเรียนที่บ้านได้

นอกจากนี้สื่อ Interactive  Multimedia ที่ใช้ในหลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียง Phonics World และหลักสูตรภาษาอังกฤษ ACTive English ยังเป็นกลไกสำคัญ ที่ฝ่ายวิชาการภาษาอังกฤษ SE-ED Learning Center ใช้ในการควบคุมมาตรฐาน และคุณภาพการเรียนการสอนในหลักสูตร โดยฝ่ายวิชาการ SE-ED Learning Center จะมีความมั่นใจว่าครูผู้สอนทุกๆ คน ในหลักสูตรภาษาอังกฤษ ACTive English ในทุกๆ โรงเรียนที่นำเอาหลักสูตรนี้ไปใช้อำนวยการเรียนการเสนอ จะมีรูปแบบ และเนื้อหาการเรียนการสอนที่มีมาตรฐานเหมือนกัน นักเรียนทุกๆ คนที่เรียนในหลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียงPhonics World และหลักสูตรภาษาอังกฤษ Active English ไม่ว่าจะเรียนจากที่โรงเรียนใด จะได้เรียน ได้ฝึกภาษาอังกฤษที่มีคุณภาพการในระดับสากลที่เท่าเทียมกัน ทั้งในด้านของวงคำศัพท์ (Headwords) โครงสร้างประโยค (Sentence Pattern) และไวยากรณ์ (Grammar) ภายใต้กรอบมาตรฐานทางภาษาอังกฤษของสหภาพยุโรป CEFR (Common European Framework of Reference for Languages) และมาตรฐานการทดสอบทักษะภาษาอังกฤษ Anglia English Proficiency Examination และ Cambridge Young Learners Tests (CYLET)
ดังนั้นด้วยสื่อ Interactive Multimedia ที่ครบวงจร และมีประสิทธิภาพของหลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียง Phonics World และหลักสูตรภาษาอังกฤษ Active English จึงทำให้คุณพ่อคุณแม่ และผู้ปกครองมีความมั่นใจว่า นักเรียนจะมีทักษะ และพัฒนาการทางภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น (เนื่องจากการที่นักเรียนมีอัตราการใช้ภาษาอังกฤษที่เพิ่มขึ้น และรู้สึกสนุกสนานต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ) สามารถพูด และใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วภายใต้มาตรฐานสากล ที่มีคุณภาพเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเรียนหลักสูตรพัฒนาทักษะการออกเสียง Phonics World และหลักสูตรภาษาอังกฤษ Active English จากโรงเรียนใดก็ตาม
.............................................................................................................


แหล่งอ้างอิง: http://www.joltmediagroup.com/tag/interactive-multimedia

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การเล่าเรื่องด้วยสื่อดิจิตอล



IMG_1988

การเล่าเรื่องด้วยสื่อดิจิตอล (Digital Storytelling) เป็นคำที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากที่เทคโนโลยีทำให้เครื่องมือต่างๆ เช่นกล้องถ่ายรูป โน๊ตบุ๊ค แท็บเบล็ต มีราคาถูกและแพร่หลาย การเล่าเรื่องด้วยสื่อดิจิตอลทำให้คนเราสามารถที่จะแบ่งปันแง่มุมต่าง ๆ ในชีวิตหรือจินตนาการกับผู้อื่นผ่านการผลิตวิดิทัศน์ แอนิเมชั่น ภาพถ่าย เสียงพูด หรือ ดนตรี ในรูปแบบของสื่อดิจิตอล ซึ่งสามารถเผยแพร่ผ่านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต

เรื่องราวที่เล่าผ่านสื่อดิจิตอล มักจะประกอบด้วยภาพเคลื่อนไหว ภาพนิ่ง แอนนิเมชั่น ดนตรี และเสียงบรรยาย การเล่าเรื่องผ่านสื่อดิจิตอล เป็นกิจกรรมหลักอย่างหนึ่งของโครงการ ซัมซุง สร้างพลังการเรียนรู้ สู่อนาคต โดยที่นักเรียนอาจจะเป็นงานเดี่ยว หรืองานกลุ่ม และผลงานเหล่านี้ สามารถที่จะอัพโหลดไปไว้บนอินเทอร์เน็ตเพื่อเผยแพร่ได้

การเล่าเรื่องด้วยสื่อดิจิตอล (Digital Storytelling)


การเล่าเรื่องด้วยสื่อดิจิตอล เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้ที่สร้างเนื้อหา และนำเสนอเนื้อหาให้เพื่อนๆ ในชั้น หรือผู้ชมได้เข้าใจในสิ่งที่ผู้เรียนต้องการนำเสนอ แน่นอน การเรียนที่ผู้เรียนจะต้องนำเสนอเนื้อหาและความเห็น ย่อมเป็นการวิธีการเรียนรู้ที่ผู้เรียนต้องมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ตั้งแต่การหาข้อมูลพื้นฐาน การรวบรวมความคิด จนไปถึงการทำเนื้อหา และวิธีการนำเสนอให้เข้าใจได้ง่ายและน่าสนใจในปีแรกของโครงการ เราได้เห็นการนำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายจากโรงเรียนที่ร่วมในโครงการ เช่น เรื่องของเครื่องดนตรีของชาวม้ง การวิจัยชุมชนหลากหลายชาติพันธ์บริเวณลุ่มน้ำอิง ซึ่งนักเรียนจะต้องออกไปทำความเข้าใจกับบริบทและค้นหาข้อมูล สัมภาษณ์ชาวบ้านในชุมชน ซึ่งเป็นการพัฒนาทักษะสังคมและทักษะการฟังจับใจความ (Deep Listening) ไปในเวลาเดียวกัน

หลังจากนั้น น้อง ๆ ก็ต้องนำข้อมูลที่ได้กลับมาประมวล ลำดับความคิด เพื่อนำเสนอเป็นเรื่องราวผ่านสื่อดิจิตอลการผลิตสื่อดิจิตอล ก็เป็นการพัฒนาทักษะอีกชุดหนึ่ง ทำให้นักเรียนได้มีโอกาสใช้เครื่องมือผลิตสื่อเพื่อนำเสนอเรื่องราว และแง่มุมของตนเองให้เพื่อน ๆ ฟัง การเล่าเรื่องแบบดิจิตอลทำให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะกับสื่อประเภทต่าง ๆ เช่นการตัดต่อวิดีโอ ภาพนิ่ง การให้เสียงประกอบ เป็นต้น
Digital Storytelling ตามความมุ่งหมายของโครงการ จึงไม่ใช่การผลิตคลิปวิดีโอ หรือพัฒนาคนทำสื่อ เราหวังว่า ผู้เรียนจะได้มีโอกาสพัฒนาทักษะหลาย ๆ ด้านผ่านกระบวนการนี้ มีโอกาสค้นคว้าและฝึกการเรียนรู้และหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง  การผลิตสื่อเป็นกิจกรรมที่ทำให้นักเรียนต้องมีความเข้าใจเนื้อหา และมีความสามารถในการที่จะเล่าออกมาให้คนเข้าใจได้  เราหวังว่า กระบวนการนี้ จะเปลี่ยนการเรียนรู้จากการที่นักเรียนเป็นผู้รับความรู้อย่างเดียว (Passive Learner) เป็นผู้เรียนที่มีส่วนร่วม (Active Learner) และสามารถที่จะสร้างเนื้อหาใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนได้ (Original Content)หัวใจของกิจกรรมการเล่าเรื่องด้วยสื่อดิจิตอล (Digital Storytelling)          
.................................................................................................................................      
เเหล่งอ้างอิง: http://www.samsungslc.org/article/digital-storytelling/

เว็บเควสท์



Web Quest

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เว็บเควสท์

      บทเรียนเว็บเควสท์ (WebQuest) เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการแสวงหาความรู้โดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐาน ผู้สอนหรือ ผู้ออกแบบบทเรียนไม่ได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียนแต่เพียงฝ่ายเดียวแต่เป็นผู้จัดกลุ่ม เรียบเรียง และลำดับความรู้ต่าง ๆ  ให้อำนวยความสะดวกแก่ผู้เรียน เพื่อให้เข้าถึงความรู้นั้น ๆ  อย่างเป็นระบบเป็นขั้นตอนโดยมุ่งการแก้ปัญหาเป็นสำคัญ       

      ความเจริญก้าวหน้าของเว็บเควสท์ในปัจจุบันพบว่าได้มีการพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 1995 โดยมีเป้าหมายที่นำแหล่งความรู้ที่หลากหลายบนเครือข่าย World Wide Web มาใช้เป็นฐานในการัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยผู้เรียนแสวงรู้จากแหล่งความรู้ที่จัดไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อใช้ในการเรียนการสอน หรือกล่าวอีกในหนึ่งว่า เว็บเควสท์เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการแสวงหาความรู้โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นฐาน ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนบนแหล่งต่างๆ ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยมีผู้ให้คำนิยามไว้มากมายดังนี้



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เว็บเควสท์

ตัวอย่างบทเรียนเว็บเควสท์

ลักษณะของเว็บเควสท์ คือ แสดงเพียงโครงร่างเนื้อหาเป็นกรอบของความรู้ที่ผู้เรียนต้องการหรือควรจะศึกษา ไม่ได้มุ่งแสดงเนื้อหารายละเอียดของความรู้นั้นๆที่ชี้ชัดลงไปโดยตรง ดังเช่นบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนทั่วๆ ไป ที่ผู้ออกแบบได้ระบุเนื้อหาเฉพาะเพียงกรอบ ของวัตถุประสงค์ 
เชิงพฤติกรรมที่ต้องการเท่านั้น วิธีการของเว็บเควสท์ในการเข้าสู่เนื้อหาความรู้ต่างๆ ได้โดยใช้ตัวเชื่อมโยงบนหน้าเว็บเพจหลัก ของกรอบโครงสร้างเนื้อหาหลักที่ผู้ออกแบบจัดกลุ่ม เรียบเรียง และลำดับ ดังที่กล่าวไว้แล้วนั้นเชื่อมโยงไปยังแหล่งความรู้อื่นๆในเว็บไซต์อื่นที่ผู้สอนหรือผู้ออกแบบพิจารณาเห็นว่า มีเนื้อหาสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้เกิดแก่ผู้เรียน
การสร้างบทเรียนแบบเว็บเควสท์ การสร้างเว็บเควสท์ เป็นการจัดสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ของผู้เรียน ดังนั้นจึงต้องมีการออกแบบ วางแผน พัฒนาบทเรียน โดยมีขั้นตอน 7 ขั้นดังนี้ (Lamb, 2004)                   
1. เลือกหัวข้อ
2. เลือกการออกแบบ
3. เลือกเครื่องมือในการพัฒนา
4. สร้างการประเมินผล
5. พัฒนากระบวนการ
6. ทดสอบ / เผยแพร่ 
7. ประเมินผลเว็บเควสท์


รูปแบบการเรียนรู้ในเว็บเควสท์     
      รูปแบบการเรียนรู้ในเว็บเควสท์สามารถสรุปได้ใน ลักษณะ คือ  ลักษณะร่วมมือกัน  ลักษณะแข็งขันกันและลักษณะต่างคนต่างเรียน  ซึ่งผู้สอนควรออกแบบการเรียนการสอนให้ผู้เรียนสามารถเรียนแบบลักษณะร่วมมือกันเพื่อให้ผู้เรียนร่วมกันคิด  แก้ไขปัญหาร่วมประสบการณ์  และร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานออกมา

ประโยชน์ของการเรียนการสอนแบบเว็บเควสท์ 


             1.  ช่วยเหลือ สนับสนุนเพื่อนสมาชิกอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล                 

             2.  แบ่งปันแหล่งข้อมูล และวัสดุ รวมไปถึงกระบวนการในการจัดการข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล               

             3.  มีการสนองตอบตามคำเรียกร้อง หรือช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างเป็นลำดับ           
             4.  ท้าทายข้อสรุปของกันและกัน ร่วมกันขบคิด หาแนวทางที่ดีที่สุดร่วมกัน                 
             5.  ผลักดันให้ไปสู่เป้าหมายร่วมกัน                 
             6. จะบรรลุเป้าหมายได้มาจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกๆ คน               
             7.  เชื่อมั่นในพลังของกลุ่ม ไว้ใจเพื่อนสมาชิก               
             8. เข้าใจปัญหาตรงกัน เพื่อไปสู่เป้าหมายร่วมกัน               
             9.  ตัดความลังเลสงสัย และความคิดที่ว่า ทำเพราะต้องทำออกจากใจ
      
      สรุปว่า เว็บเควสท์ เป็นเว็บที่มีการออกแบบให้มีกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีลักษณะการเรียนแบบสืบสอบ (Inquiry-Oriented)  กล่าวคือ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ความรู้จากการค้นคว้าด้วยตัวเองจากแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ทางอินเทอร์เน็ตที่จัดเตรียมไว้ในเว็บเควสท์ตามขั้นตอนที่กำหนด และมีลักษณะสำคัญ คือ เว็บเควสท์แสดงเพียงโครงร่างเนื้อหา เป็นกรอบของความรู้ที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาไม่ได้นำเอาของเนื้อหาในการเรียนใส่ลงไปในบทเรียน

............................................................................................................................................................

เเหล่งอ้างอิง:  http://krunop.net/webquest/wq1.html